5 สัญญาณเตือนว่าร่างกาย กินถั่วเหลืองมากเกินไป
ถั่วเหลืองเป็นอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนและไขมันดี เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ พบได้ทั่วไปในรูปแบบน้ำเต้าหู้ เต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง แม้จะมีประโยชน์มาก แต่การบริโภคมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน เพราะสารบางชนิดในถั่วเหลือง เช่น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) อาจรบกวนสมดุลฮอร์โมนหรือการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้ในบางคนโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว วันนี้เราเลยจะพาไปดูผลกระทบของถั่วเหลืองต่อสุขภาพกัน

ผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร
การกินถั่วเหลืองมากเกินไปอาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร เพราะในถั่วเหลืองมีสารโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Oligosaccharides) ที่ร่างกายย่อยได้ยาก เมื่อถูกย่อยในลำไส้ใหญ่จะเกิดแก๊ส ทำให้รู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือแน่นท้องได้ง่าย อีกทั้งใยอาหารในถั่วเหลืองหากได้รับมากเกินไปก็อาจทำให้ท้องผูกหรือท้องร่วงได้ ดังนั้นจึงควรกินในปริมาณที่พอดี และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างสมดุล
อาการแพ้ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองถือเป็นหนึ่งในอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากมีโปรตีนอย่าง ไกลซินิน (Glycinin) และคอนไกลซินิน (Conglycinin) ซึ่งอาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง เช่น ผื่นคัน ลมพิษ หน้าบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือหายใจลำบาก สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลืองโดยเด็ดขาด และตรวจสอบฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ผลกระทบต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
ในถั่วเหลืองมีสารที่เรียกว่ากอยโตรเจน (Goitrogens) ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ สำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงและได้รับไอโอดีนเพียงพอ การกินถั่วเหลืองในปริมาณปกติมักไม่เป็นปัญหา แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะ ไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) หรือกำลังรับประทานยาไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองในปริมาณมาก เพราะอาจลดการดูดซึมของยาและทำให้การรักษาได้ผลน้อยลง
ข้อกังวลเกี่ยวกับสาร “ไฟโตเอสโตรเจน”
สารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) หรือไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ในถั่วเหลือง เป็นสารจากพืชที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง จึงมักถูกตั้งคำถามว่าอาจส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนหรือเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมนเช่น มะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตามผลการศึกษายังไม่ชัดเจนและมักชี้ว่าการบริโภคในปริมาณปกติไม่เป็นอันตราย สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหรือผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และควรกินอย่างพอดี ไม่เกินวันละ 1–2 เสิร์ฟ เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์โดยไม่กระทบต่อสมดุลฮอร์โมน
สารต้านโภชนาการ (Antinutrients)
ถั่วเหลืองดิบมีสารต้านโภชนาการที่อาจรบกวนการดูดซึมสารอาหารสำคัญของร่างกายเช่น กรดไฟติก (Phytic acid) ซึ่งจับกับแร่ธาตุอย่างแคลเซียม เหล็ก และสังกะสี ทำให้ร่างกายดูดซึมได้น้อยลง รวมถึงสารยับยั้งทริปซิน (Trypsin inhibitors) ที่ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ย่อยโปรตีนในระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้สามารถถูกทำลายได้ด้วยความร้อน การผ่านกระบวนการแปรรูปเช่น การต้ม การนึ่ง หรือการหมัก จะช่วยลดปริมาณสารต้านโภชนาการลงได้มาก จึงควรบริโภคถั่วเหลืองที่ผ่านการปรุงสุกหรือแปรรูปแล้ว เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและปลอดภัยต่อสุขภาพ
แหล่งที่มา : www.sanook.com